Apple เข้าชิง Emmy Award มากเป็นประวัติการณ์ถึง 81 รางวัลโดยมี Severance เป็นซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงมากที่สุดในปีนี้ ในขณะที่ The Studio เป็นซีรีส์คอมเมดี้น้องใหม่ที่ได้เข้าชิงมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ซีรีส์คอมเมดี้หน้าใหม่อย่าง The Studio ได้เข้าชิงถึง 23 รางวัล รวมถึงซีรีส์คอมเมดี้ยอดเยี่ยม พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์เป็น ซีรีส์ คอมเมดี้น้องใหม่ที่ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุด และได้เข้าชิงในสาขาการแสดงมากที่สุดในปีนี้
Apple TV+ เป็นเพียงเน็ตเวิร์กเดียวที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขาซีรีส์คอมเมดี้ยอดเยี่ยมและซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยมมากกว่าหนึ่งเรื่องโดยทั้ง The Studio, Severance, Slow Horses และ Shrinking ต่างได้เข้าชิงในสาขาสำคัญ รวมถึง The Gorge ซึ่งเป็นเรื่องแรกของ Apple ที่ได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดเยี่ยม
ปีนี้ Apple ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาการแสดงมากที่สุดในบรรดาเน็ตเวิร์กหรือสตูดิโอทั้งหมด รวม 31 รางวัล
Apple Originals ได้รับเกียรติเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลถึง 14 เรื่อง ได้แก่ Severance, The Studio, Slow Horses, Shrinking, Presumed Innocent, The Gorge, Bad Sisters, Dope Thief, Disclaimer, Pachinko, Your Friends & Neighbors, Dark Matter, Deaf President Now! และ Bono: Stories of Surrender
- ซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยม
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Adam Scott
- ดารานำแสดงหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Britt Lower
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Zach Cherry
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Tramell Tillman
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: John Turturro
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Patricia Arquette
- นักแสดงรับเชิญหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Jane Alexander
- นักแสดงรับเชิญหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Gwendoline Christie
- นักแสดงรับเชิญหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Merritt Wever
- กำกับยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า: Jessica Lee Gagné
- กำกับยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า: Ben Stiller
- เขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า: Dan Erickson
- ออกแบบการผลิตยอดเยี่ยมสำหรับรายการเชิงเล่าเรื่องร่วมสมัย (หนึ่งชั่วโมงหรือนานกว่านั้น)
- ประพันธ์ดนตรียอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ (ดนตรีประกอบแนวดราม่า)
- คัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า
- ออกแบบท่าเต้นยอดเยี่ยมสำหรับรายการที่มีสคริปต์
- กำกับภาพยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ (หนึ่งชั่วโมง)
- ลำดับภาพยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า (x3)
- ออกแบบฉากเปิดเรื่องยอดเยี่ยม
- ควบคุมดนตรียอดเยี่ยม
- ลำดับเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้หรือดราม่า (หนึ่งชั่วโมง)
- ผสมเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้หรือดราม่า (หนึ่งชั่วโมง)
- เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยมยอดเยี่ยมในหนึ่งตอน
- แสดงยอดเยี่ยมประเภทสตันท์
- ซีรีส์คอมเมดี้ยอดเยี่ยม
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Seth Rogen
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Ike Barinholtz
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Kathryn Hahn
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Catherine O'Hara
- นักแสดงรับเชิญชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Bryan Cranston
- นักแสดงรับเชิญชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Dave Franco
- นักแสดงรับเชิญชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Ron Howard
- นักแสดงรับเชิญชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Anthony Mackie
- นักแสดงรับเชิญชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Martin Scorsese
- นักแสดงรับเชิญหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Zoë Kravitz
- กำกับยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้: Seth Rogen, Evan Goldberg
- เขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้: Seth Rogen, Evan Goldberg, Peter Heck, Alex Gregory, Frida Perez
- ออกแบบการผลิตยอดเยี่ยมสำหรับรายการเชิงเล่าเรื่อง (ครึ่งชั่วโมง)
- คัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้
- กำกับภาพยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ (ครึ่งชั่วโมง)
- เครื่องแต่งกายร่วมสมัยยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์
- ลำดับภาพยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้ที่ใช้กล้องตัวเดียว
- ออกแบบทรงผมร่วมสมัยยอดเยี่ยม
- ประพันธ์ดนตรียอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ (ดนตรีประกอบแนวดราม่า)
- ควบคุมดนตรียอดเยี่ยม
- ลำดับเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้หรือดราม่า (ครึ่งชั่วโมง)
- ผสมเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้หรือดราม่า (ครึ่งชั่วโมง) และแอนิเมชั่น
- ซีรีส์คอมเมดี้ยอดเยี่ยม
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Jason Segel
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Harrison Ford
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Michael Urie
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอมเมดี้: Jessica Williams
- คัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้
- ผสมเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอมเมดี้หรือดราม่า (ครึ่งชั่วโมง) และแอนิเมชั่น
- ซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยม
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Gary Oldman
- เขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า: Will Smith
- กำกับยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า: Adam Randall
- คัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ดราม่า
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์หรือภาพยนตร์ประเภทลิมิเต็ดหรือจบในตอน: Taron Egerton
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์หรือภาพยนตร์ประเภทลิมิเต็ดหรือจบในตอน: Bill Camp
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์หรือภาพยนตร์ประเภทลิมิเต็ดหรือจบในตอน: Peter Sarsgaard
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์หรือภาพยนตร์ประเภทลิมิเต็ดหรือจบในตอน: Ruth Negga
- นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์หรือภาพยนตร์ประเภทลิมิเต็ดหรือจบในตอน: Cate Blanchett
- กำกับภาพยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์หรือภาพยนตร์ประเภทลิมิเต็ดหรือจบในตอน
- นักแสดงนำแสดงหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า: Sharon Horgan
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์หรือภาพยนตร์ประเภทลิมิเต็ดหรือจบในตอน: Brian Tyree Henry
- ภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดเยี่ยม
- ลำดับเสียงยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์หรือภาพยนตร์ประเภทลิมิเต็ดหรือจบในตอนหรือรายการพิเศษ
- สารคดีหรือสารคดีพิเศษยอดเยี่ยม
- กำกับยอดเยี่ยมสำหรับรายการประเภทสารคดี/ไม่ใช่เรื่องแต่ง: Nyle DiMarco, Davis Guggenheim
- ออกแบบการผลิตยอดเยี่ยมสำหรับรายการแนวย้อนยุคหรือแฟนตาซี (หนึ่งชั่วโมงหรือนานกว่านั้น)
- กำกับภาพยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ (หนึ่งชั่วโมง)
- เพลงหลักประกอบฉากเปิดเรื่องยอดเยี่ยม
- กำกับเทคนิคและงานกล้องยอดเยี่ยมสำหรับรายการพิเศษ
- ออกแบบฉากเปิดเรื่องยอดเยี่ยม
- "Heartstrings" — Apple AirPods Pro
- "Flock" — Apple Privacy
ในเรื่อง Severance นั้น Mark Scout (Adam Scott) เป็นหัวหน้าทีมที่ Lumon Industries ซึ่งพนักงานต้องเข้ารับการผ่าตัดแยกสมองที่จะแบ่งความทรงจำออกจากกันระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว และการทดลองสุดท้าทายในเรื่อง "ความสมดุลของระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว" ก็สร้างความเคลือบแคลงใจให้กับ Mark ที่พบว่าตนเองเป็นศูนย์กลางแห่งปริศนาที่กำลังจะคลี่คลายและทำให้เขาต้องเผชิญกับความเป็นจริงเกี่ยวกับงานและชีวิตของตนเอง โดยในซีซั่น 2 นั้น Mark และเพื่อนต้องเรียนรู้ผลพวงอันเจ็บปวดของการล้อเล่นกับเส้นแบ่งของการแยกโลก ซึ่งนำพาพวกเขาดำดิ่งไปสู่ความทุกข์ระทม
ในเรื่อง The Studio นั้น Seth Rogen รับบทเป็น Matt Remick หัวหน้า Continental Studios ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งสดๆ ร้อนๆ และในขณะที่หนังหลายเรื่องดูท่าจะตกยุคและไปไม่รอด Matt และทีมผู้บริหารหัวกะทิที่กัดกันไม่หยุดก็ต้องรับมือกับความสั่นคลอนในชีวิตของตัวเองและสู้รบปรบมือกับบรรดาศิลปินอีโก้สูงรวมถึงเจ้าของสตูดิโอใจเสาะเพื่อพยายามสร้างภาพยนตร์ดีๆ แม้จะดูไม่ใกล้เคียงความจริงเลยก็ตาม สิ่งเดียวที่ช่วยอำพรางความตื่นตกใจที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนคือชุดสูทเนี้ยบๆ ที่พวกเขาใส่ เพราะทุกงานปาร์ตี้ การเยี่ยมกองถ่าย การตัดสินใจเลือกนักแสดง การประชุมกับฝ่ายการตลาด และงานประกาศรางวัลล้วนเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้ประสบความสำเร็จสุดปัง หรือบอกลาวงการไปแบบพังพินาศ และสำหรับ Matt ซึ่งเป็นคนที่กิน นอน และหายใจออกมาเป็นหนังแล้ว ตำแหน่งนี้คือสิ่งที่เขาเฝ้ารอมาทั้งชีวิต แต่ก็อาจเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิตเขาด้วยเช่นกัน
Shrinking เป็นเรื่องราวของนักจิตบำบัดที่ต้องรับมือกับความเศร้าจากการสูญเสียคนรักและเริ่มแหกกฎโดยการพูดตรงแบบโหดๆ กับทุกคนที่ได้เจอ แต่การไม่ใส่ใจในสิ่งที่เรียนมาและจรรยาบรรณ กลับทำให้เขาพบว่าตัวเองได้สร้างความเปลี่ยนแปลงและความสับสนอลหม่านให้กับชีวิตของคนอื่น รวมถึงชีวิตของตัวเองด้วย
ดราม่าสายลับตลกร้ายเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองอังกฤษที่ต้องมาทำงานในแผนกที่ตั้งมาไว้รับเจ้าหน้าที่ MI5 ที่ถูกโละทิ้งเพราะทำผิดพลาดชนิดที่ไม่ควรเป็นสายลับอีก นำทีมโดยหัวหน้าที่ฉลาดเป็นกรดแต่อารมณ์ร้ายจนไม่มีใครอยากยุ่งด้วยอย่าง Jackson Lamb (Sir Gary Oldman ผู้ได้รับรางวัล Academy Award) พวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตในโลกแห่งการจารกรรมที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพื่อปกป้องอังกฤษจากภัยคุกคาม
Presumed Innocent เป็นลิมิเต็ดซีรีส์ 8 ตอนที่นำแสดงและอำนวยการสร้างโดย Jake Gyllenhaal ร่วมด้วย David E. Kelley และผู้อำนวยการสร้าง J.J. Abrams ดัดแปลงจากนวนิยายขายดีของ New York Times ในชื่อเดียวกันที่แต่งโดย Scott Turow ซีรีส์เรื่องนี้จะพาผู้ชมลุ้นระทึกไปกับคดีฆาตกรรมสุดโหดเหี้ยมที่ทำให้สำนักงานอัยการประจำเมืองชิคาโกต้องสั่นคลอนเมื่อรองอัยการรัฐ Rusty Sabich ซึ่งรับบทโดย Gyllenhaal ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง และเมื่อถูกกล่าวหา เขาจึงต้องลุกขึ้นสู้เพื่อกอบกู้ครอบครัวและชีวิตแต่งงานในซีรีส์ระทึกขวัญที่พูดถึงเรื่องราวความลุ่มหลง เซ็กซ์ การเมือง รวมถึงพลังอำนาจและขีดจำกัดของความรัก ร่วมด้วยดาราอีกคับคั่งไม่ว่าจะเป็น Ruth Negga, Bill Camp, Elizabeth Marvel, Peter Sarsgaard, O-T Fagbenle และ Renate Reinsve
Disclaimer เป็นซีรีส์จิตวิทยาระทึกขวัญความยาว 7 ตอน นำแสดงโดยนักแสดงที่ได้รับรางวัล Academy Award อย่าง Cate Blanchett และ Kevin Kline ทั้งยังมี Alfonso Cuarón ผู้ได้รับรางวัล Academy Award ถึง 5 รางวัลเป็นผู้เขียนบทและกำกับ ซีรีส์เรื่อง "Disclaimer" ดัดแปลงจากนวนิยายขายดีในชื่อเดียวกันที่แต่งโดย Renée Knight ซึ่งเล่าเรื่องราวของนักข่าวชื่อดัง Catherine Ravenscroft (นำแสดงโดย Blanchett) ที่สร้างชื่อจากการเปิดโปงข่าวฉาวและการกระทำผิดของคนอื่น แต่เมื่อเธอได้รับนวนิยายจากนักเขียนโนเนมคนหนึ่ง เธอก็ต้องตกใจเมื่อได้รู้ว่าตอนนี้เธอกลายเป็นตัวละครหลักในนิยายที่เปิดโปงความลับอันดับมืดของเธอไปเสียแล้ว Catherine จึงเร่งสืบหาตัวตนที่แท้จริงของนักเขียน และต้องจำใจเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเองก่อนที่มันจะทำลายชีวิตและความสัมพันธ์ของเธอกับสามี Robert (นำแสดงโดย Sacha Baron Cohen) และลูกชาย Nicholas (นำแสดงโดย Kodi Smit-McPhee) ร่วมด้วยนักแสดงอีกคับคั่งไม่ว่าจะเป็น Lesley Manville, Louis Partridge, Leila George และ Hoyeon และมี Indira Varma เป็นผู้บรรยาย
Bad Sisters กลับมาในซีซั่น 2 เพื่อตามติดชีวิตของห้าพี่น้องสาวตระกูล Garvey ที่มี Sharon Horgan รับบทเป็น Eva, Anne-Marie Duff เป็น Grace, Eva Birthistle เป็น Ursula, Sarah Greene เป็น Bibi และ Eve Hewson เป็น Becka เรื่องราวผ่านไปสองปีหลัง "การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ" ของสามีตัวแสบของ Grace ห้าพี่น้องสาวตระกูล Garvey ที่สนิทกันมากก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันต่อ แต่แล้วเมื่อความจริงในอดีตฟื้นขึ้นมาหลอกหลอน สปอตไลต์ก็ฉายกลับมาที่ห้าสาวอีกครั้ง พร้อมบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความระแวงสงสัย เรื่องราวโกหก ความลับที่ถูกเปิดโปง และทั้งห้าสาวก็ต้องร่วมมือร่วมใจกันเพื่อหาว่าจะเชื่อใจใครได้บ้าง
ซีรีส์ Dope Thief ดัดแปลงจากหนังสือของ Dennis Tafoya ซึ่งเล่าเรื่องราวของสองเพื่อนรักหัวขโมยในเมืองฟิลาเดลเฟียที่สวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ป.ป.ส. เพื่อปล้นบ้านโทรมๆหลังหนึ่งในชทบท แต่จากงานปล้นเล็กๆ กลับกลายเป็นต้องเข้าไปพัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติดที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน เมื่อทั้งสองเริ่มขุดคุ้ยและเปิดโปงเส้นทางขนส่งยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดเส้นหนึ่งในอีสเทิร์นซีบอร์ดโดยไม่ได้ตั้งใจ
เจ้าหน้าที่สายลับฝีมือเยี่ยมสองคน (รับบทโดย Miles Teller และ Anya Taylor-Joy) ได้รับมอบหมายให้ไปเฝ้าหอประจำการณ์สองฟากฝั่งของโกรกธารปริศนาเพื่อปกป้องโลกจากภัยร้ายลึกลับจากเบื้องลึกที่แอบซ่อนอยู่โดยไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร ทั้งสองเริ่มสนิทกันมากขึ้นแม้จะอยู่ห่างกันคนละฟาก อีกทั้งยังต้องคอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับมือกับศัตรูที่มองไม่เห็น และเมื่อภัยอันตรายระดับหายนะที่คุกคามมนุษยชาติเผยตัว ทั้งสองจึงต้องร่วมมือกันและผ่านด่านทดสอบทั้งกายและใจเพื่อป้องกันไม่ให้ความลับหลุดรอดออกไปจากโกรกธารแห่งนี้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
เรื่องราวมหากาพย์และความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่เริ่มต้นจากความรักต้องห้ามก่อนจะค่อยๆ ทวีความเข้มข้นจนกลายเป็นตำนานการเดินทางที่กินพื้นที่ตั้งแต่เกาหลี ญี่ปุ่น ไปจนถึงอเมริกาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือนของสงครามและสันติภาพ ความรักและความสูญเสีย ชัยชนะและความจริงอันเจ็บปวด
หลังถูกไล่ออกจากกรณีอื้อฉาว ผู้จัดการกองทุนที่เพิ่งหย่าและยังทำใจไม่ค่อยได้ต้องหันเหชีวิตมาออกปล้นเพื่อนบ้านในย่านเศรษฐีอย่าง Westmont Village แต่ไม่นานก็ค้นพบว่าความลับและเรื่องชู้สาวที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังความร่ำรวยในฉากหน้านั้นอาจอันตรายกว่าที่คิด
เรื่องการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่ผู้คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยรับรู้มาก่อน Deaf President Now! เล่าเรื่องราวการประท้วงครั้งประวัติศาสตร์ที่กินเวลานานถึง 8 วันที่ Gallaudet University ในปี 1988 หลังจากคณะกรรมการของมหาวิทยาลัยแต่งตั้งประธานที่ไม่มีปัญหาด้านการได้ยินโดยไม่พิจารณาผู้ลงสมัครหูหนวกอีกหลายคนที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติอย่างชัดเจน หลังจากการเดินขบวน บอยคอต และประท้วงนานนับสัปดาห์ นักศึกษา Gallaudet University ก็ได้รับชัยชนะเมื่อประธานที่ไม่มีปัญหาด้านการได้ยินลาออกจากตำแหน่ง และคณบดี Dr. I. King Jordan ซึ่งเป็นที่รักของทุกคนขึ้นรับตำแหน่งประธานหูหนวกคนแรกของมหาวิทยาลัย การประท้วงดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในประวัติศาสตร์สิทธิพลเมือง ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมออกไปถึงนอกรั้วมหาวิทยาลัย Gallaudet และกรุยทางให้กับกฎหมาย Americans with Disabilities Act (ADA) นอกจากนี้ในเรื่อง Deaf President Now! ยังมีบทสัมภาษณ์พิเศษจากบุคคลผู้มีส่วนสำคัญในการเคลื่อนไหว 5 ท่าน ไม่ว่าจะเป็น DPN4 ซึ่งได้แก่ Jerry Covell, Bridgetta Bourne-Firl, Tim Rarus และ Greg Hlibok รวมถึง I. King Jordan โดยมีการใช้ทั้งภาพเสียงที่เป็นของเก่าจริงๆ และส่วนที่ถ่ายทำขึ้นใหม่ อีกทั้งยังมีการใช้แนวทางการเล่าเรื่องเชิงทดลองในมุมมองของคนหูหนวกที่เรียกว่า Deaf Point of View ซึ่งใช้การถ่ายภาพแนวอิมเพรสชันนิสม์ร่วมกับการออกแบบเสียงที่ละเอียดประณีตเพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์ราวกับเป็นคนหูหนวก
Bono: Stories of Surrender นำการแสดงบนเวทีแบบวันแมนโชว์ของ Bono ในชื่อ Stories of Surrender: An Evening of Words, Music and Some Mischief… ซึ่งได้รับคำยกย่องชื่นชมจากนักวิจารณ์ มาจินตนาการขึ้นใหม่โดยที่ Bono จะมาเปิดใจเล่าเรื่องราวอันน่าทึ่งเกี่ยวกับชีวิต ครอบครัว ผองเพื่อน และศรัทธาที่ทั้งท้าทายและหล่อเลี้ยงตัวเขา อีกทั้งยังเผยชีวิตส่วนตัวกับการเดินทางในฐานะลูกชาย พ่อ สามี นักกิจกรรม และร็อคสตาร์ พร้อมด้วยฟุตเทจพิเศษที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนจากทัวร์คอนเสิร์ตของ Bono ซึ่งมีเพลงดังสร้างชื่อของ U2 มากมายที่หล่อหลอมชีวิตเขาจนกลายเป็นตำนาน
Dark Matter ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนวนิยายไซไฟที่ดีที่สุดแห่งทศวรรษ เป็นเรื่องราวของเส้นทางที่ไม่ได้เลือกเดิน Jason Dessen (รับบทโดย Joel Edgerton) เป็นนักฟิสิกส์ อาจารย์ และหัวหน้าครอบครัวที่อยู่มาคืนหนึ่งถูกลักพาตัวขณะเดินกลับบ้านในชิคาโก และพาไปปล่อยในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของชีวิตตัวเอง ความพิศวงงงงวยในช่วงแรกกลับกลายเป็นฝันร้ายในเวลาไม่นาน เมื่อเขาพยายามกลับไปสู่ชีวิตที่เป็นของเขาจริงๆ ท่ามกลางภาวะอันสลับซับซ้อนของเส้นทางชีวิตที่อาจเป็นไปได้แต่ไม่ได้เป็น ในเขาวงกตแห่งความเป็นจริงนี้ Jason ต้องฝ่าฟันความเจ็บปวดเพื่อกลับไปหาครอบครัวจริงของเขาและช่วยให้ครอบครัวรอดพ้นจากศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวและเอาชนะยากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา นั่นคือตัวเขาเอง
Media
-
เนื้อหาของบทความนี้
-
รูปภาพในบทความนี้
- ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ apple.com/tvpr และดูรายการ อุปกรณ์ที่รองรับทั้งหมด